วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

ข้ออุปสรรคการใช้สัญญาอนุญาโตตุลาการกับสัญญาก่อสร้างทางราชการไทย

Using obstacle promises arbitrator with promises to build Thai official

นาย ศุภณัฐ ตรีวิบูลย์
นักศึกษาหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการตรวจสอบและกฎหมายวิศวกรรม รุ่นที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

บทคัดย่อ

สัญญาอนุญาโตตุลาการที่มีอยู่ในสัญญาภาครัฐ แนวทางปฏิบัติของภาครัฐเมื่อเกิดข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทการชี้ขาดเบื้องต้นซึ้งเป็นสัญญาประกอบสัญญาหลัก ภาครัฐยอมรับว่าระบบอนุญาโตตุลาการเป็นระบบสากลที่ทั่วโลก ใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหาข้อพิพาทที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเป็นธุรกิจการค้า หรือธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะภาคเอกชนที่มีการลงทุนจากต่างประเทศต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ข้อบังคับขององค์กรกลางต่างประเทศ และอีกประการหนึ่งคือประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การค้าโลกแล้ว จำต้องใช้หลักของกฎหมายข้อบังคับที่เป็นสากล โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ มีบริษัทต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุน ดังนั้นการดำเนินการด้านของสัญญาจึงมีความเป็นสากล แต่ข้อบกพร่องของภาครัฐที่มีอยู่คือระเบียบกฎเกณฑ์ทางราชการ รวมถึงนโยบายของรัฐบาลที่มีความยุ่งยากซับซ้อนในแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดประสิทธิผล การชี้ขาดเบื้องต้นเป็นเรื้องของการประนีประนอมซึ่งถือว่าเป็นแนวทางที่รัฐพยายามให้มีขึ้น ปัจจุบันหลังจากที่ได้มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุในปี 2535 แล้ว หลักเกณฑ์นี้ไม่ปรากฏอยู่ในแบบสัญญามาตรฐาน แต่ตามข้อกำหนดสัญญาอนุญาโตตุลาการของภาครัฐ ได้ยอมรับระบบของอนุญาโตตุลาการที่ให้มีการไกล่เกลี่ยในเบื้องต้น

Abstract

Promise arbitrator who exist in promise the government sector. The trend ministers of the government sector when born arguments or judging dispute at the beginning profoundly is promise to assemble promise a pillar. The government sector is regarded as arbitrator system is universal system that the worldwide use in rows problem dispute solution that happen neither the business or a business is other especially the private sector that have the investment from the foreign countries must is in line with regulations criterion of middle foreign countries organization and on the other hand be Thailand has reached to is a memr of of an organization has traded the world already , must use a pillar of regulations law that is universal , large-sized project of the government sector. There is foreign company comes in to share invest thus side administration of promise then have the universality but faults of the government sector that exists to are criterion official regulations , include the policy in the government where has the trouble absorbs to overlap in the trend ministers for , be born the effect , judging at the beginning is demolish of compromising which regarded as in rows the way that the state tries to have go up. Present have Prime Minister's office regulations about something the inventories has in year 2535 already. This standard do are ingnot appear in model to promise the standard but according to regulations promise an arbitrator of the government sector get admit the system of an arbitrator who has reconciling in at the beginning.

Keyword: อนุญาโตตุลาการ อนุญาโตตุลาการในสัญญาของภาครัฐ พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ บทบาทของอนุญาโตตุลาการ

1. บทนำ
การอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) เป็นวิธีระงับข้อพิพาทซึ่งคู่พิพาทตกลงกันตั้งบุคคลที่สาม ซึ่งเรียกว่า อนุญาโตตุลาการ ขึ้นมาเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างกัน และเมื่ออนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดอย่างใดแล้ว ย่อมผูกพันให้คู่พิพาทต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นในทางวิศวกรรมก่อสร้าง ในปัจจุบันสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ตามโครงการต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งโครงการขนาดใหญ่ และโครงการขนาดเล็ก ทั้งเป็นการร่วมกันลงทุนกับต่างชาติ และทุนโดยเจ้าของคนเดียว ทั้งเกิดโดยผลแห่งผลแห่งสัญญาก่อสร้าง และสัญญาทางการค้า ดังนั้นวิศวกรจึงต้องทำการศึกษาและทำความเข้าใจในเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากสัญญาก่อสร้าง และวิธีระงับข้อพิพาทโดยการอนุญาโตตุลาการ

2. ข้ออุปสรรคการใช้สัญญาอนุญาโตตุลาการกับสัญญาก่อสร้างทางราชการไทย

ข้อกำหนดอนุญาโตตุลาการที่มีอยู่ในสัญญาภาครัฐ
ประเทศไทยมีข้อกำหนดอนุญาโตตุลาการในสัญญาของภาครัฐก่อนปี พ.ศ.2520 ซึ่งความริเริ่มในเรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากภาครัฐแต่เกิดจากภาคเอกชนโดยเฉพาะผู้ลงทุนจากต่างประเทศตั้งข้อเรียกร้องให้ประกอบไว้ตั้งแต่เริ่มต้นสัญญา ฝ่ายรัฐก็ได้ยอมรับว่าระบบอนุญาโตตุลาการเป็นระบบสากลและจำเป็นอย่างยิ่งในทางการค้าระหว่างประเทศ ดังนั้นระบบนี้จึงค่อยๆเข้ามาและมีการกำหนดในสัญญาภาครัฐมากขึ้น โดยในช่วงแรกนั้นการกำหนดกระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการจะเป็นไปตามข้อบังคับขององค์กรที่เป็นกลาง เช่น สภาหอการค้าไทย ในกรณีที่มีการทำสัญญาซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะประกอบธุรกิจหรือดำเนินกิจการตามสัญญาในประเทศไทย แต่ถ้าเป็นการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินกิจการในต่างประเทศแล้วทางภาครัฐเคยยอมให้ใช้กฎเกณฑ์ข้อบังคับขององค์กรกลางต่างประเทศ เช่น สภาหอการค้านานาชาติ(International Chamber of Commerceหรือ ICC) แต่ของสมาคมอนุญาโตตุลาการอเมริกา(American Arbitration Association หรือ AAA)ทางภาครัฐยังไม่ค่อยได้ใช้ ต่อมาภายหลังจากที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2530 แล้ว ได้มีการก่อตั้งสถาบันอนุญาโตตุลาการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ทำให้ระบบอนุญาโตตุลาการจึงเป็นที่รู้จักและเข้าใจกันมากขึ้น เนื่องจากมีการประชาสัมพันธ์จากภาครัฐว่ามีการใช้ในโครงการใหญ่ เช่น โครงการรถไฟยกระดับ โครงการดาวเทียม โครงการโทรศัพท์ ได้มีการยอมรับให้มีการระงับข้อพิพาทและเขียนข้อกำหนดอนุญาโตตุลาการในสัญญาก่อสร้าง ซึ่งเอกชนต่างประเทศที่มาลงทุนในประเทศไทย ก็ได้ยอมรับให้มีการกำหนดข้อบังคับของกระทรวงยุติธรรมเป็นแนวทางในการที่จะระงับข้อพิพาทและได้เขียนไว้ในข้อสัญญาตั้งแต่เริ่มมีการลงทุนในโครงการแสดงให้เห็นว่าข้อบังคับของสถาบันอนุญาโตตุลาการ กระทรวงยุติธรรมนั้นมีลักษณะที่เป็นกลางเนื่องจากประเทศไทยยกร่างมาจากกฎเกณฑ์ของสากล ต่อมาปี พ.ศ. 2535 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุและได้กำหนดตัวอย่างสัญญาไว้ท้ายระเบียบจำนวนมากในแต่ละสัญญานั้นจะมีข้อกำหนดว่าด้วยอนุญาโตตุลาการไว้เป็นตัวอย่าง ซึ่งหน่วยงานภาครัฐจะต้องยึดถือในการทำสัญญา และได้กำหนดให้ใช้ข้อบังคับของสถาบันอนุญาโตตุลาการโดยอนุโลมโดยคู่กรณีสามารถจะตกลงในเรื่องกระบวนการพิจารณาให้เป็นอย่างอื่น เพื่อให้สะดวกในทางปฏิบัติเฉพาะเรื่องก็ได้ แต่หากถ้าไม่ตกลงกันก็จะต้องเป็นไปตามข้อบังคับของสถาบันอนุญาโตตุลาการ

แนวทางปฏิบัติภาครัฐเมื่อเกิดข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาท
กรณีพิพาทเกิดจากข้อโต้แย้งซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่มีสัญญาใดที่ไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเมื่อสัญญาได้ลงนามแล้วต่างฝ่ายต่างอยู่คนละมุม แต่ไม่ใช่จะไม่ร่วมมือกันเพียงแต่คู่สัญญาจะมองจากมุมของตนว่าตนเองมีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอย่างไร จากการที่มองคนละมุมนี้ทำให้เกิดความเข้าใจที่ไม่ตรงกันได้ไม่มากก็น้อย ในกรณีที่เกิดความไม่เข้าใจกันขึ้นกับหน่วยงานภาครัฐปัญหาที่จะต้องพิจารณาก็คือเรื่องของกฎระเบียบ และนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามสัญญา ถ้าเป็นสัญญาระหว่างเอกชนกับเอกชนเรื่องของกฎระเบียบต่างๆจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องแต่ถ้าเป็นเรื่องระหว่างเอกชนกับหน่วยงานของรัฐแล้วจะมีกฎระเบียบเข้ามาเกี่ยวข้อง และหน่วยงานของเอกชนเมื่อยอมรับเข้ามาเป็นคู่สัญญาแล้วเท่ากับยอมรับในกฎระเบียบนั้นด้วย เมื่อเกิดข้อพิพาทหรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิ และหน้าที่ตามสัญญาที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบนั้นก็จะต้องมีการตีความในทางปฏิบัติถ้าหน่วยงานของรัฐมีความไม่แน่ใจในการตีความ ก็จะต้องหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือถ้าในกรณีที่ไม่มีการหารือ ก็จะทำความเห็นในลักษณะที่รักษาผลประโยชน์ของฝ่ายรัฐไว้ก่อนซึ่งเป็นเรื่องปกติไม่ว่าจะเป็นการตีความระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างก็จะมีการรักษาผลประโยชน์ของตน แต่ว่าทั้งสองฝ่ายก็ต้องพยายามที่จะหาจุดที่จะประนีประนอมกันให้มากที่สุด ดังนั้นทางหน่วยงานของรัฐก็จำเป็นจะต้องหารือหน่วยงานกลางที่เกี่ยวข้อง ให้มีการวินิจฉัยตีความโดยถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกฎระเบียบการพัสดุก็จะต้องหารือคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ หรือถ้าเป็นกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินก็จะหารือถึงกระทรวงการคลัง หรือสำนักงบประมาณถ้าเป็นการวินิจฉัยสิทธิหน้าที่ระหว่างคู่สัญญาก็จะหารือมาที่สำนักงานอัยการสูงสุด การให้ความเห็นในเบื้องต้นของหน่วยงานกลางเหล่านี้ ก็จะเป็นแนวทางในการให้ความเห็นเพื่อให้คู่สัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชนนำไปพิจารณาประกอบการหาข้อยุติในกรณีข้อพิพาทนั้นโดยผลที่สืบเนื่องจากการที่หน่วยงานของรัฐต้องติดอยู่กับกฎระเบียบ และผลของการตีความของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ขั้นตอนการประนีประนอมกันระหว่างคู่สัญญาภาครัฐกับเอกชน ต้องใช้เวลานานและมีความยากลำบากกว่าจะประสบผลสำเร็จ เนื่องจากต้องยึดถือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ระเบียบที่หน่วยงานของรัฐจะต้องยึดถือและมีการตีความกันไว้แล้ว ถ้ามีการตีความในลักษณะที่อาจทำให้ฝ่ายรัฐสละประโยชน์ได้ข้อโต้แย้งย่อมไม่เกิดเพราะยุติไปแล้ว แต่มีบางกรณีที่การตีความออกมาในลักษณะที่ทำให้ฝ่ายรัฐจะต้องรักษาสิทธิประโยชน์ของฝ่ายรัฐ ซึ่งยังผลให้ข้อโต้แย้งกับภาคเอกชนไม่สามารถหาข้อยุติได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการตีความในลักษณะที่เป็นการรักษาผลประโยชน์ของรัฐทุกกรณี ส่วนใหญ่จะเป็นการตีความในลักษณะที่ประนีประนอมแต่ผลที่ออกมาก็ยังเป็นในลักษณะที่ยังรักษาผลประโยชน์ของรัฐมากกว่า ซึ่งหมายถึงการที่ยังไม่ค่อยยอมรับข้อเสนอที่ฝ่ายเอกชนเรียกร้องมา เพราะฉะนั้นในกรณีที่ได้ข้อยุติว่าจะต้องรักษาประโยชน์ฝ่ายรัฐแล้วมักจะเกิดเป็นข้อโต้แย้งขึ้นอีกและเมื่อถึงขั้นการประนอมข้อพิพาทแม้คู่สัญญาฝ่ายเอกชนจะยอมลดข้อเสนอในข้อเรียกร้องของตนหรือจะให้ข้อเสนอแนะอย่างไร หน่วยงานของรัฐก็ยังคงต้องยืนอยู่ ณ จุดเดิมคือจะต้องยึดถือผลของการตีความที่มีมาแต่แรก ดังนั้นการยุติข้อพิพาทภาครัฐกับเอกชนในขั้นตอนการไกล่เกลี่ยและประนีประนอมข้อพิพาทจึงประสบผลสำเร็จได้ยาก

การชี้ขาดเบื้องต้น
ขั้นตอนนี้เป็นเรื่องการประนีประนอมซึ่งภาครัฐได้พยายามจะให้มีขึ้น ในการปฏิบัติที่ผ่านมาการกำหนดตัวบุคคลผู้ประนีประนอมมักจะกำหนดมาจากบุคคลที่เป็นฝ่ายรัฐ เช่น กรณีรัฐวิสาหกิจก็เป็นผู้ว่าการ กรณีของกรมเป็นคู่สัญญาก็มักจะกำหนดให้อธิบดี หรือรัฐมนตรีต้นสังกัดเป็นผู้ชี้ขาดหรือผู้ประนีประนอม ซึ่งในทางปฏิบัติการประนีประนอมจะไม่สัมฤทธิผลเพราะทางผู้บริหารเหล่านี้ย่อมจะต้องยึดถือกฎระเบียบของภาครัฐ ดังนั้นการที่กำหนดให้มีผู้ชี้ขาดเบื้องต้นโดยผู้บริหารของฝ่ายรัฐเท่าที่ผ่านมาจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ซึ่งส่วนใหญ่จะยืนตามความเห็นเดิมของเจ้าหน้าที่ ข้อโต้แย้งที่มีอยู่แล้วก็ยังคงมีอยู่ต่อไป แต่ปัจจุบันหลังจากที่ได้มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุในปี 2535 แล้ว หลักเกณฑ์นี้ไม่ปรากฏอยู่ในแบบสัญญามาตรฐาน แต่ตามตัวอย่างข้อกำหนดอนุญาโตตุลาการของภาครัฐ ได้ยอมรับระบบของอนุญาโตตุลาการที่ให้มีการไกล่เกลี่ยในเบื้องต้น ถ้าดูในตัวอย่างข้อกำหนดอนุญาโตตุลาการที่มีอยู่ท้ายระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2535 จะพบขั้นตอนของการประนีประนอมโดยการให้คู่สัญญาฝ่ายรัฐกับฝ่ายเอกชนแต่ละฝ่ายเสนอชื่ออนุญาโตตุลาการฝ่ายของตน ดังนั้นบทบาทของอนุญาโตตุลาการสองท่านนี้ ส่วนหนึ่งเป็นอนุญาโตตุลาการตามกฎหมายซึ่งเป็นผู้มีอำนาจที่จะดำเนินกระบวนพิจารณา เป็นผู้มีอำนาจที่จะทำคำชี้ขาดได้ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ แต่บทบาทในทางปฏิบัตินั้นจะเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือผู้ที่ประนีประนอม การประนีประนอมเกิดจากความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายทั้งตัวระดับเจ้าหน้าที่ด้วย และโดยบางครั้งก็มีการให้ความร่วมมือจากอนุญาโตตุลาการฝ่ายเอกชน เช่นกรณีข้อพิพาทกรณีหนึ่งพิพาทกันเรื่องสัญญาก่อสร้าง ซึ่งเป็นประเด็นจะต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาทางเทคนิคซึ่งมีความเข้าใจไม่ตรงกัน ซึ่งปรากฏว่าทางฝ่ายเอกชนยอมระงับหรือถอนเรื่องไปโดยที่ไม่ต้องมีคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยเนื่องจากอนุญาโตตุลาการฝ่ายเอกชนเป็นนักวิชาการด้านวิศวกรรม ได้จัดให้มีการประชุมกันทั้งสองฝ่ายและมีข้อยุติในทางที่ให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันได้ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับฝ่ายรัฐเพราะว่าเป็นฝ่ายที่ถูกเรียกร้อง และมีอีกหลายเรื่องที่ทางฝ่ายรัฐยอมสละประโยชน์บางประการ เช่น การเลือกที่จะยึดค่าปรับ บางครั้งก็เรียกร้องเต็มจำนวนหรือเต็มระยะเวลาที่ทางฝ่ายรัฐเข้าใจว่าฝ่ายเอกชนนั้นมีความบกพร่อง เพราะว่าการวินิจฉัยว่าทางเอกชนจะขอขยายเวลาดำเนินการได้หรือไม่ ฝ่ายเอกชนจะต้องถูกปรับเท่าไหร่ มีกฎระเบียบว่าจะต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่หน่วยงานของรัฐและองค์กรกลางคือสำนักนายกรัฐมนตรีได้กำหนดการที่ต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ทำให้มีการตีความในทางที่รักษาประโยชน์ของฝ่ายรัฐฉะนั้นก็มักจะพิจารณาค่าปรับสูงสุด พอถึงจุดที่จะประนีประนอมกันจะให้หน่วยงานของรัฐยอมรับสละประโยชน์ได้โดย อาศัยความเห็นของฝ่ายรัฐนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก อนุญาโตตุลาการสองคนที่กำหนดไว้ในสัญญาภาครัฐก็เข้ามาแก้ปัญหาได้ เพราะว่าระบบอนุญาโตตุลาการสองคนนั้นตามกฎหมายถือเป็นผู้ที่มีอำนาจจะดำเนินกระบวนพิจารณา และสามารถทำคำชี้ขาดได้โดยคำนึงถึงหลักกฎหมายกฎระเบียบต่างๆ และความเป็นธรรมด้วย มีหลายเรื่องที่การไกล่เกลี่ยในชั้นอนุญาโตตุลาการสองคนทำให้คู่กรณีสามารถพบกันได้ บางครั้งก็เป็นการพบกันครึ่งทาง บางครั้งก็ค่อนทางแล้วแต่ประเด็นข้อพิพาท และเป็นที่ยอมรับกันว่าทางฝ่ายรัฐนั้นก็ยอมสละประโยชน์ได้หรือยอมรับภาระบางอย่างที่ข้อสัญญาได้กำหนดไว้ซึ่งเป็นผลคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการข้อพิพาทที่ระบบอนุญาโตตุลาการสองคนสามารถแก้ปัญหาได้ เป็นข้อพิพาทที่ไม่ยุ่งยากไม่มีประเด็นมากและไม่ต้องใช้เวลามาก แต่หลายเรื่องที่ข้อพิพาทมีความสลับซับซ้อนและต้องวินิจฉัยโดยผู้เชี่ยวชาญหรือมีพยานจำนวนมาก กรณีเช่นนี้ระบบอนุญาโตตุลาการสองคนมักจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเป็นการยากที่อนุญาโตตุลาการสองคนจะทำให้คู่สัญญามีความเข้าใจที่ตรงกันได้ในทุกๆประเด็น ความจำเป็นที่จะต้องตั้งอนุญาโตตุลาการท่านที่สามหรือผู้ชี้ขาดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ขั้นตอนปฏิบัติหลังจากมีผู้ชี้ขาดแล้วจะเกิดปัญหาในแง่ของความร่วมมือกันระหว่างคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาระบบอนุญาโตตุลาการ

ปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาระบบอนุญาโตตุลาการ
เรื่องปัญหาอุปสรรคมีอยู่ ๒ ประเด็นคือ
๑. ความไม่เข้าใจในระบบอนุญาโตตุลาการ
๒. การขาดความร่วมมือของคู่ความ


3. สรุป
เป็นการศึกษาค้นคว้าแบบบูรณาการ เพื่อให้ได้เข้าใจถึงปัญหา และอุปสรรคการพัฒนาระบบอนุญาโตตุลาการกับสัญญาก่อสร้างระบบราชการไทย

กิตติกรรมประกาศ
ผู้เขียนใคร่ขอขอบคุณคณะผู้จัดทำเว็บไซต์ และขอขอบคุณคณะผู้จัดทำเว็ปไซด์กูเกิลล์ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการศึกษาค้นคว้า สืบค้นข้อมูลทางอิเลคทรอนิคส์ ถือว่าเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการเขียนบทความฉบับนี้ รวมถึงขอขอบพระคุณนักวิชาการในด้านกฎหมายเกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการในงานวิศวกรรมที่มิได้เอ่ยนามมา ณ ที่นี้
ท้ายที่สุดนี้ขอขอบพระคุณ คณะอาจารย์ ผู้บริหารโครงการพิเศษ วิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ได้ให้โอกาสผู้เขียนในการศึกษาค้นคว้า เรื่องการอนุญาโตตุลาการเกี่ยวกับงานวิศวกรรม จึงทำให้เกิดเป็นบทความเรื่องนี้ขึ้น

เอกสารอ้างอิง
[1] สำนักงานระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม,2552. คู่มือการระงับข้อพิพาทสำหรับประชาชน. 9,500เล่ม. พิมพ์ครั้งที่5. นนทบุรี : เพชรรุ่งการพิมพ์.
[2] เรือเอก อานนท์ ไทยจำนง, 2548. ปัญหาและแนวทางการใช้สัญญาอนุญาโตตุลาการเพื่อการระงับ/ยุติข้อพิพาทในงานก่อสร้าง กรณีสัญญาก่อสร้างงานราชการ.บัณฑิตศึกษา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.
[3] มั่น ศรีเรือนทอง, 2541. อนุญาโตตุลาการสาขาวิชาชีพวิศวกรรมและงานก่อสร้าง. วารสารโยธาสาร 10,3 (กรกฎาคม-กันยายน 2541) : 30-31.
[4] วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, 10 พฤศจิกายน 2552. อนุญาโตตุลาการ. http://th.wikipedia.org/wiki/อนุญาโตตุลาการ.


ประวัติผู้เขียน และผู้เขียนร่วม
นายศุภณัฐ ตรีวิบูลย์
บธ.บ. (การจัดการทรัพยากรมนุษย์) มหาวิทยาลัยบูรพา
เจ้าหน้าที่ประจำห้องควบคุมการผลิตสารอะโรเมติกส์
บริษัทระยองโอเลฟินส์ จำกัด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น