สองทางเลือกไอทีวี ขายทิ้งหรือสู้ต่อ
ภายหลังศาลปกครองกลางประกาศคำตัดสินเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการคดีไอทีวี ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นคำชี้ขาดที่ไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ และเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ เป็นคำชี้ขาดที่เกี่ยวกับข้อพิพาทที่ไม่สามารถระงับโดยอนุญาโตตุลาการ และการที่จะยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาด จะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมของประชาชน
คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ถูกตัดสินว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ว่าด้วยกรณีที่ให้บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ปรับเปลี่ยนการจ่ายค่าสัมปทานจากปีละ 1,000 ล้านบาท ไปจนครบอายุสัญญาสัมปทาน ลดเหลือเป็นปีละ 230 ล้านบาท การให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ต้องจ่ายค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2541-2544 เป็นจำนวนเงิน 20 ล้านบาท จากกรณีที่กรมประชาสัมพันธ์ยอมให้สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 มีโฆษณาได้ รวมทั้งการชี้ขาดให้ไอทีวีปรับลดสัดส่วนการนำเสนอข่าวสารสาระและบันเทิงจากเดิมที่มีสัดส่วน 70:30 เป็น 50:50
แม้จะพ่ายในศาลปกครองกลาง แต่บริษัท ไอทีวี จำกัด(มหาชน) เครือชินคอร์ปอเรชั่นของกลุ่มเทมาเสก ก็ขอสู้ต่อในชั้นศาลปกครองสูงสุด เตรียมยื่นเรื่องอุทธรณ์ภายใน 30 วัน กลายเป็นสถานีโทรทัศน์แห่งเพียงเดียวที่ประสบปัญหายุ่งๆ เกี่ยวกับการดำเนินกิจการมาตั้งแต่เริ่มเปิดสถานีเลยทีเดียว เปิดปีแรกก็เบี้ยวค่าสัมปทาน ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ พ.ศ.2536 รัฐบาลโดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.)ได้เปิดให้มีการประมูลโครงการสถานีโทรทัศน์ในระบบยูเอชเอฟช่องแรก ซึ่งมีกลุ่มทุนสิ่งพิมพ์ให้ความสนใจโดดเข้าชิงสัมปทานสถานีโทรทัศน์จำนวนมาก แต่ผู้ชนะการประมูลคือธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งใส่ซองเสนอราคาให้สูงลิ่วกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ที่ 900 ล้านบาทต่อปี วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2538 สปน.และบริษัท ไอทีวี ลงนามในสัญญาเข้าร่วมงานและดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ ยูเอชเอฟ มีกำหนด 30 ปี โดยไอทีวี ตกลงจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนเป็นอัตราร้อยละของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายและภาษีอากรใด ๆ ทั้งสิ้นให้แก่ สปน. ตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไป ด้วยอัตราก้าวหน้าในอัตราร้อยละ 22.5 และ อัตราร้อยละ 35 ในปีที่ 4-6 และอัตราร้อยละ 44 ในปีที่ 7-30 และรับประกันผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำให้แก่ สปน. ตามจำนวนเงินขั้นต่ำปีละ 300 ล้านบาทในปีที่ 3 และเพิ่มขึ้นปีละ 100 ล้านบาทในปีที่ 4-10 และสำหรับในปีที่ 11-30 ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรวมผลตอบแทนตลอดอายุสัมปทานเป็นเงิน 25,200 ล้านบาท อดีตผู้บริหารไอทีวีรายหนึ่งในยุคก่อตั้งสถานีกล่าวว่า ช่วงที่เขียนแผนเสนอราคา สมัยนั้นเศรษฐกิจดีมากๆ อุตสาหกรรมโฆษณาเติบโตปีละ 20% ดังนั้นค่าสัมปทานที่เสนอไปก็คิดว่าอยู่ในวิสัยที่จ่ายได้ แต่สถานีโทรทัศน์เปิดดำเนินการได้ในพ.ศ. 2539 ปีนั้นก็เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้น ตลาดโฆษณาทั้งระบบก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ผู้ถือหุ้นและผู้บริหารของไอทีวีทุกคนรู้ว่าไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ แต่ก็ยังหวังว่าตลาดจะกลับมาสดใสเหมือนเดิมเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวอีกครั้ง แต่อุตสาหกรรมโฆษณาในยุคหลังเศรษฐกิจฟองสบู่แตกไม่กลับไปเหมือนเดิมอีก ทำให้บริษัทฯประสบปัญหาด้านรายได้
ในปีแรกที่เปิดดำเนินการ ไอทีวี ก็ยื่นหนังสือถึง สปน.ขอยกเว้นจ่ายค่าสัมปทาน เนื่องจากหน่วยงานของรัฐคือกรมประชาสัมพันธ์ไม่ให้ความร่วมมือในการขยายเครือข่าย ทั้งที่ในสัญญาร่วมดำเนินงานระบุว่าในปีแรกการขยายเครือข่ายต้องให้หน่วยงานรัฐสนับสนุน หลังจากถกเถียงกันระยะหนึ่งในที่สุดทาง สปน.ก็ยอมตามที่ไอทีวีร้องขอไป และมาเริ่มจ่ายค่าสัมปทานครั้งแรกในปีที่สองของการดำเนินงานเป็นเงินประมาณ 400 ล้านบาท ตั้งแต่นั้นผลประกอบการของบริษัทฯก็ขาดทุนเรื่อยมา
แม้ว่าในทีโออาร์จะมีการความคุ้มครองให้กับไอทีวี จากการที่ สปน.หรือหน่วยงานของรัฐให้สัมปทานอนุญาตหรือทำสัญญากับบุคคลอื่นเข้ามาดำเนินกิจการให้บริการส่งวิทยุโทรทัศน์โดยมีโฆษณา หรืออนุญาตให้โทรทัศน์ระบบอกรับสมาชิกทำการโฆษณาได้ เป็นเหตุกระทบต่อฐานะทางการเงินของไอทีวี สามารถแก้ไขสัญญาได้ แต่ต้องผ่านการตัดสินของอนุญาโตตุลาการ
ยุคชินคอร์ปแก้สัญญา
เมื่อขอแก้ไขสัญญาสัมปทานไม่สำเร็จ ประกอบกับผลการดำเนินงานขาดทุนสะสมเพิ่มขึ้นทุกปี กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์จึงคิดจะถอย โดยได้ทาบทามบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น เข้ามาซื้อหุ้น ใน พ.ศ.2544 บริษัทฯมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ โดยชินคอร์ปอเรชั่น ซื้อหุ้นในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์ และผู้ถือหุ้นรายอื่น อาทิ กันตนา, เดอะ เนชั่น ทำให้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
หลังจากชินคอร์ปอเรชั่นเข้ามาบริหารกิจการก็เดินเรื่องถึง สปน.ขอเปลี่ยนแปลงสัญญาใหม่ในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้กับรัฐ ต่ำกว่าที่เขียนในสัญญา โดยอ้างความไม่เท่าเทียมกับช่อง 7 สี ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีรายได้เป็นอันดับหนึ่งของตลาด แต่จ่ายค่าสัมปทานให้กับกองทัพบกประมาณ 170-180 ล้านบาท นอกจากนี้ยังอ้างภาวะเศรษฐกิจไม่ดี และการที่หน่วยงานของรัฐปล่อยให้สถานีโทรทัศน์ที่รัฐถืออยู่คือช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ รับโฆษณาสินค้าได้ รวมทั้ง อสมท ปล่อยให้ยูบีซี เปิดโฆษณาได้ จนกระทบต่อรายได้ของไอทีวี แต่ สปน.ไม่ยินยอม และไอทีวี ก็หันไปใช้ระบบอนุญาโตตุลาการเข้ามาตัดสินข้อขัดแย้งใน พ.ศ. 2547 ซึ่งที่สุด ไอทีวี ก็เป็นฝ่ายชนะ สปน.
ครั้งนั้นบรรดาอาจารย์ด้านนิเทศศาสตร์และนักวิชาการบางคนได้โจมตีว่าเป็นการตัดสินที่ไม่คำนึงถึงประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง แต่กลับไปเอื้อให้กับบริษัทเอกชนแทน และกลายเป็นชนวนมาจนถึงวันนี้
ทางออกของไอทีวี
มาในวันนี้เมื่อการเมืองพลิกผัน เสียงต่อต้านระบอบทักษิณดังกระหึ่ม ภาคประชาชนมีบทบาทมากขึ้นในสังคม ทำให้ไอทีวี ซึ่งเป็นธุรกิจหนึ่งในเครือข่ายของชินคอร์ปอเรชั่น ก็ได้รับหางเลขตามไปด้วย โดยคำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้กับ ไอทีวี สมความต้องการของภาคประชาชน และก็คาดหวังว่าศาลปกครองสูงสุดก็คงจะมีคำตัดสินไปในทิศทางเดียวกัน
และนับแต่วันที่ศาลปกครองกลางมีคำวินิจฉัยว่าคดีที่ สปน.ฟ้องไอทีวี มีมูล เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ครั้งนั้นราคาหุ้นของไอทีวีก็ดิ่งลงมาต่ำกว่า 10 บาทต่อหุ้น พอถึงวันตัดสิน 9 พฤษภาคม 2549 ราคาร่วงติดฟลอร์เหลือหุ้นละ 6.65 บาท ไม่พอนักวิเคราะห์หลายสำนักต่างก็ทำนายทายทักราคาหุ้นของไอทีวีจะมีราคาเหลือเพียงหุ้นละ 1.50 บาท ถ้าหากแพ้คดีต้องกลับไปจ่ายค่าสัมปทานปีละ 1,000 ล้านบาท แถมต้องจ่ายค่าสัมปทานย้อนหลังอีกร่วม 2,000 ล้านบาท พร้อมกับต้องปรับผังรายการกับไปยึดแนวเดิมคือเน้นข่าวและสาระมากกว่าบันเทิงในช่วงไพร์มไทม์ โอกาสที่ทำรายได้ก็ลดน้อยลง
ในภาวะที่การเมืองก็ไม่หนุนส่ง เศรษฐกิจก็ไม่เอื้อ คนในวงการทีวี นักลงทุนตลอดจนภาคประชาชนต่างจับตามองว่าจากนี้ไปบริษัท ไอทีวี และเทมาเสก บริษัทแม่จะผ่าทางตันนี้อย่างไร จะยอมขายกิจการให้กับผู้สนใจ ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มอาร์เอส โปรโมชั่น เป็นรายเดียวที่ประกาศตัวชัดเจนว่าสนใจจะซื้อ ส่วนจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่เคยมีท่าทีสนใจในช่วงแรกที่ตระกูลชินวัตร ขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเสกนั้น ตอนหลังก็ขอถอนตัว ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน หากขายไปก็คงไม่ได้ราคาเท่าไรนัก เพราะผู้ซื้อคงจะต่อรองราคาแบบสุดๆ เช่นกัน
หรืออีกแนวทาง ให้ อสมท เข้ามาซื้อ อย่างที่ผู้บริหารในวงการตลาดเงินตลาดทุนได้วิเคราะห์ก่อนหน้านี้ว่าเป็นบริษัทเดียวที่มีความสามารถในการเข้าไปกอบกู้วิกฤตไอทีวีได้ แม้นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ของ อสมท ยังตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู่ว่าการตัดสินใจใดๆต้องผ่านคณะกรรมการบริษัทฯ ไม่สามารถตัดสินใจได้เอง อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิพากษ์กันมากว่ารัฐอาจจะสั่งให้ อสมท เข้ามาซื้อกิจการไอทีวีจากกลุ่มเทมาเสก ในฐานะที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท อสมท จะทำให้สถานีโทรทัศน์ไอทีวีกลับคืนมาเป็นของรัฐอีกครั้ง ปัญหาค่าสัมปทานก็อาจจะหมดไป อีกทางหนึ่งก็ยังช่วยรักษากระเป๋ากลุ่มเทมาเสกไม่ให้ฉีกขาดมาก ไม่เหมือนกับขายให้เอกชนด้วยกัน หรือไม่ก็คืนสัมปทานให้กับ สปน. เพื่อเปิดให้มีการปรับเปลี่ยนสัญญาใหม่ แล้วประมูลหาผู้ร่วมดำเนินงานรายใหม่ ซึ่งแนวทางนี้มีความเป็นไปได้น้อยเมื่อเทียบสองแนวทางแรก เพราะเท่ากับบริษัทฯไม่ได้อะไรเลย มีแต่ควักเนื้อมาตลอด
แนวทางที่เป็นไปได้ค่อนข้างมากก็คงจะขายให้ อสมท และมีข่าวว่าตอนนี้ อสมท ได้ตั้งทีมงานศึกษาโดยดูทั้งประเด็นกฎหมาย ความสามารถของ อสมท รวมถึงความคุ้มค่า และเป็นไปได้ในการลงทุน ก็ต้องติดตามผลการตัดสินของศาลปกครองสูงสุดว่าจะออกมาอย่างไร บริษัทแม่ของไอทีวี คงจะไม่ปล่อยทีวีช่องนี้หลุดมือไปแบบขาดทุน
นี่เป็นตัวอย่างคดีที่มีคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในกรณีนี้ศาลปกครองกลางสั่งถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ แต่ถึงอย่างไรก็ตามในวงการธุรกิจทางแพ่งและพาณิชย์นั้นนิยมการอนุญาโตตุลาการซึ่งสามารถอ่านได้จากบล็อกเรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการอนุญาโตตุลาการได้ว่าเพราะเหตุใด ส่วนเหตุผลที่ข้าพเจ้าเลือกเอาคดีนี้มา เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีที่ผู้คนในสังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงยกมาเป็นกรณีศึกษา เพื่อพิจารณาในด้านบทบาทของอนุญาโตตุลาการในกระบวนการพิจารณาคดี เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น